สุขภาพทั่วไป

ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์

โรคเอดส์เป็นโรคที่ยังไม่มียาตัวไหนที่จะทำการรักษาให้หายขาดได้ โดยเรานั้นควรที่จะทำการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อจากโรคเอดส์เหล่านี้เอาเอง ซึ่งจะเห็นได้ว่าในกลุ่มที่เป็นการเสี่ยงส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นในกลุ่มของวัยรุ่นสะส่วนใหญ่ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเสี่ยงประเภทไหนหรือใครก็ตามควรที่จะศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับการเสี่ยงและควรที่จะทำการป้องกันอย่างถูกวิธี

มีการรายงานมาจากกระทรวงสาธารณสุขโดยการมีผู้ที่ติดเชื้อเหล่านี้เป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยส่วนมากจะเป็นกลุ่มคนทีเป็นวัยรุ่นจนถึงวัยทำงานแต่ก็ยังไม่สามารถระบุตัวเลขได้อย่างแน่นอนเพราะมีการเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆตลอดจนทุกวันนี้แต่ตัวเลขประมาณการทั้งหมดที่ยังมีชีวิตอยู่สำหรับผู้ที่ติดเชื้อ HIV 570,000 ราย โดยผู้ติดเชื้อเหล่านี้มักจะมีอายุกันตั้งแต่ 15-50ปีนั่นเอง

จะเห็นว่าอาการติดเหล่านี้ก็ยังไม่แสดงอาการต่างๆขึ้นาเท่าไหร่นักในบางคนก้ยังไม่ทราบเลยด้วยว่าพวกเขานั้นติดจนกระทั่งเริ่มรุนแรงถึงได้รู้ว่าติดเชื้อนั่นเอง ข้อมูลจากหนังสือ  และจากการพูดคุยระหว่างแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลผู้ติดเชื้อ HIV โดยส่วนใหญ่ที่มักเกิดจากวัยรุ่นนั้นเพราะส่วนใหญ่แล้ววัยรุ่นมักจะมีความต้องการทางเพศสัมพันธ์ค่อนข้างมาก แก็ยังไม่รู้จักวิธีป้องกันมากเท่าไหร่จึงทำให้เกิดการระบาดของเชื้อเอดส์เหล่านี้ในกลุ่มที่เป็นวัยรุ่นนั่นเอง

นอกจากกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้จะติดเชื้อ HIV แล้ว ยังเป็นการติดเชื้ออื่นๆได้อีกด้วย อาทิเช่น ไม่ว่าจะเป็นหนองใน  ซิฟิลิส  กามโรคอื่นๆก็ตามทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นจากการมีเพศสัมพันธ์ด้วยกันทั้งสิ้นอาการเหล่านี้จะเป็นการที่เกิดจากการร่วมเพศแบบไม่ป้องกันหรือเปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ  แล้วมักไม่ใช้ถุงยางเวลามีเพศสัมพันธ์หรืออาจจะเป้นการไปซื้อขายบริการโดยกลุ่มคนเหล่านี้ก็ไม่ได้ใส่ถุงยางอีกเช่นกัน จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้กลุ่มของวัยรุ่นเหล่านี้ติดเชื้อเอดสมากกว่าวัยอื่นๆนั่นเอง

วการป้องกันก็ไม่ยากเท่าไหร่หากคุณนั้นมีความคิดที่จะป้องกัน แต่อันที่จริงแล้วถ้ารู้จักรักสนุกก็ควรที่จะป้องกันให้มากขึ้นและป้องกันอย่างละเอียดจะได้ไม่เป็นกลุ่มเสี่ยงให้ติดเชื้อโรคต่างๆที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิตตามมา นอกจากนั้นเชื้อเหล่านี้ก็ยังแพร่กระจายไปโดยเร็วอีกด้วย โดยบางคนนั้นถึงแม้ว่าไม่ได้ที่จะมีเพศสัมพันธ์แต่ก็สามารถติดต่อได้หากมีบาดแผลหรือการดื่มน้ำต่อกันที่เป็นแก้วเดียวกันหรือทางน้ำลายนั่นเอง หากคุณไม่อยากเป็นเอดส์หรือเป็นตัวแพร่กระจายเชื้อโรคเหล่านี้คุณควรที่จะรักษาตนเองและป้องกันทุกครั้งระหว่างการมีเพศสัมพันธ์

 

สนับสนุนโดย  ชุดตรวจเอดส์ ซื้อที่ไหน

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

ประโยชน์ของการล้างจมูก

ประโยชน์ของการล้างจมูก
การ “ล้างจมูก” ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยฟังแล้วบางครั้งอาจจะยังไม่เคยได้ยิน และบางทีก็อาจจะรู้สึกกลัวเมื่อมองเห็นแนวทางการทำ แม้กระนั้นจริงๆ การล้างจมูกไม่ได้ทำยากและไม่น่าขนลุกเหมือนอย่างที่คิดจ้ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีปัญหาเป็นโรคภูมิแพ้ ไซนัส ไอเรื้อรัง ถ้าหากทำความสะอาดโดยการล้างจมูก บ่อยๆ จะช่วยลดการเสี่ยงการเกิดโรคไข้หวัดได้ ถ้าเกิดต้องการมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงขึ้น นอน หลับสนิท ตื่นมาแจ่มใสไม่เหนื่อย วันนี้เรานำกรรมวิธีล้างจมูกที่ถูกรวมทั้งดีต่อร่างกายมาฝากกันจ้ะ ลองนำไปปฏิบัติตามขั้นตอนกันดูนะคะ ยืนยันว่าร่างกายแข็งแรง ขึ้นไกลห่างโรคไข้หวัดแน่ๆ

การล้างจมูก เป็นยังไง ?
การล้างจมูก คือ วิธีการทำความสะอาดโพรงจมูกโดยการใส่หรือหยอดน้ำเข้าไปในจมูก การล้างจมูกจะช่วยชำระล้างมูก คราบเปื้อนมูก หรือหนองรอบๆโพรงจมูก หลังจากที่โพรงจมูกของเราถูกล้างแล้ว ทำให้โพรงจมูกสะอาด ควรที่จะใช้น้ำเกลือล้างจมูกที่ความเข้มข้น 0.9% (ความเข้มข้น 0.9% ช่วยลดความเหนียวของน้ำมูก และยังยับยั้งการเติบโตของเชื้อโรค)

ประโยชน์จากการล้างจมูก มีอะไรบ้าง ?
– ทุเลาอาการระคาย

– ลดอาการคัดจมูก แน่นจมูก ช่วยทำให้จมูกเตียนโล่งขึ้น

– ปกป้องการเกิดโรคไข้หวัดต่างๆ โรคภูมิแพ้ แล้วกลายเป็นอาการไอเรื้อรัง

– ป้องกันการลุกลามเชื้อโรคจากจมูก รวมทั้งไซนัสไปสู่ปอด

– ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นแก่เยื่อบุจมูก

– ช่วยลดน้ำมูกหรือหนองที่อุดอยู่รอบๆ รูเปิดของโพรงไซนัส

– ช่วยลดการอักเสบของไซนัส ลดจำนวนการใช้ยาสำหรับเพื่อการรักษาโรคภูมิแพ้ และโรคไซนัส

– ช่วยป้องกันการเกิดพังผืดที่อาจจะเป็นผลให้รูจมูกหรือไซนัสตีบแคบ

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

สดใสยามเช้า เพราะอาหารเช้าที่มีประโยชน์

ประโยชน์ของอาหารเช้า
อาหารเช้ามีประโยชน์มากกว่าความอิ่มท้อง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่งดอาหารเช้าหรือเร่งรีบไม่มีเวลาทานให้ลองอ่านบทความนี้ แล้วคุณอาจจะเปลี่ยนใจ และหันไปทานอาหารเช้าที่ไม่ได้ทานมาแสนนาน เราไปดูกันเลยดีกว่าว่า อาหารเช้านั้นมีประโยชน์และช่วยอะไรเราบ้าง

1. ช่วยให้ความจำดีขึ้น
ที่ผ่านมา มนุษย์ ต้องใช้ความคิดอยู่เสมอ ซึ่งหลายๆ คนนั้นมีความสามารถในการจำบางสิ่งบางอย่างไม่เท่ากัน ซึ่งการที่เราไม่ทานอาหารเช้าก็เป็นหนึ่งสาเหตุ มีการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเช้ามีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน การทำงาน ทำให้ระบบความจำ ทักษะการเรียนรู้ และอารมณ์ดีขึ้นด้วยค่ะ แต่หากใครไม่ทานอาหารเช้าจะมีสมาธิน้อยลงและสมองก็ทำงานได้ไม่เต็มที่

2. ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้
มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญเพราะให้พลังงานและกระตุ้นระบบเผาผลาญให้เริ่มทำงานได้ อีกทั้งผู้ป่วยโรคเบาหวานหากรับประทานอาหารเช้าจะเป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะจะช่วยลดภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน หรือที่เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลินซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนั้นลดลงถึง 35-50% เลยทีเดียวค่ะ

3. ช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้
การรับประทานอาหารเช้าช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะจากมื้อดึกของเมื่อวานจนถึงเช้านี้เราต้องอดอาหารนานเกินไป หากเราไม่ทานอาหารเช้าอีกน้ำตาลในเลือดจะลดลงจนไปเพิ่มแนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้นและนี่ก็เป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้อย่างไม่รู้ตัวอีกด้วยค่ะ

4. ลดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคหัวใจ
ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 พบว่า การรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมออาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจได้ด้วย เพราะเลือดของเราจะมีความเข้มข้นมากในตอนเช้า และหากส่งเลือดไปเลี้ยงสมองหรือหัวใจ จะทำให้เกิการอุดตัน แต่ถ้ารับประทานอาหารเช้าเข้าไปจะช่วยให้ระดับความเข้มข้นในเลือดเจือจางลงด้วยค่ะ

5. ช่วยลดโอกาสเกิดโรคนิ่ว
การไม่รับประทานอาหารนานกว่า 14 ชั่วโมงจะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกันนาน หากนาน ๆ ไปสิ่งที่จับตัวกันนั้นจะกลายเป็นก้อนนิ่ว แต่หากเราทานอาหารเช้าเข้าไปล่ะก็ มันจะไปกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลที่จับตัวกันอยู่ได้

6. ช่วยพัฒนาสมอง
การอดอาหารเช้าเป็นเวลานาน อาจทำให้เราได้รับสารอาหารไม่เพียงพอในแต่ละวัน โดยเฉพาะเด็กๆ ถ้าหากไม่ทานอาหารเช้า นอกจากขาดสารอาหารมาเลี้ยงสมองแล้ว ยังอาจทำให้ไม่แข็งแรง การเจริญเติบโตไม่เป็นไปตามเกณฑ์ ส่งผลทั้งระยะสั้นและไปถึงระยะยาว

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

นอนกัดฟันอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ

โอ๊ย! ทำไมปวดหัวแล้วยังปวดฟันอีก อ๊ะๆ คุณกำลังนอนกัดฟันรึเปล่านะ การที่เรามีอาการ “นอนกัดฟัน” เป็นปัญหาที่มองข้ามไม่ได้ มันอาจดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่จริงๆ แล้ว มันเป็นอาการที่พบได้บ่อยมากๆ ในทุกเพศทุกวัย และมันอาจส่งผลเสียที่ร้ายมากๆ ต่อคุณภาพชีวิตของคุณ ทำให้การนอนของคุณสะดุดติดขัดถึงแม้ว่าอาการนอนกัดฟันจะเกิดแบบไม่รู้ตัวก็ตาม ซึ่งนอกจากปัญหานี้จะส่งผลโดยตรงกับตัวคุณเองที่ต้องเสี่ยงต่อฟันสึกกร่อนแล้ว ยังส่งผลไปยังคนรอบข้างของคุณอีกด้วย

นอนกัดฟัน คืออะไร?
อาการนอนกัดฟันเกิดขึ้นจากอะไร การนอนกัดฟันเป็นลักษณะอาการของผู้ที่หลับไปแล้ว แต่จะมีเสียงออกมาคล้ายกับคนนอนกรน แต่เป็นเสียงเหมือนฟันขบกัดกัน สบกันแรงๆ ซึ่งระหว่างที่กำลังนอนหลับอยู่ จะมีเสียงเบาหรือดังก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละคน และส่วนใหญ่ผู้ที่มีอาการนอนกัดฟันมักที่จะไม่เคยรู้ตัวมาก่อน และไม่สามรถที่จะขัดขืนพฤติกรรมนี้หรือบังคับไม่ให้นอนกัดฟันไม่ได้

6 สาเหตุของอาการ นอนกัดฟัน
จริงๆ แล้ว สาเหตุของการนอนกัดฟัน เกิดจากการที่เราอาจจะกำลังป่วยเป็นโรคผิดปกติจากการนอนหลับ และยังอาจมาจากสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ชั่วคราว เช่น

  1. ภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น
  2. ความเครียด
  3. การดื่มแอลกอฮอล์
  4. ใช้ที่อุดฟันที่สูงเกินฟันจริงมากเกินไป
  5. เป็นโรคปริทันต์อักเสบ หรือเหงือกอักเสบรุนแรง
  6. มีความผิดปกติของขากรรไกร เช่น ขากรรไกรค้างบ่อยๆ

6 สัญญาณอันตรายของอาการ “นอนกัดฟัน” ที่ต้องพบหมอด่วน

  • ตื่นเช้ามา รู้สึกปวดขากรรไกรบ่อยๆ
  • คนใกล้ตัวบอกว่า นอนกัดฟันบ่อยๆ
  • ปวดศีรษะ
  • นอนกัดฟันอย่างรุนแรง จนรู้สึกเหมือนปวดฟัน ฟันสึก ฟันโยก
  • มีแผลในปาก หรือกระพุ้งแก้ม โดยไม่ได้มาจากการเคี้ยวผิดจังหวะ หรือไม่ทราบสาเหตุ
  • เสียวฟัน

อันตรายจากการนอนกัดฟัน
อย่างไรก็ตามอันตรายจากการนอนกัดฟันที่นอกจากจะทำให้คนที่นอนอยู่ข้างๆ เกิดความรำคาญ และอาจนอนไม่หลับแล้ว การที่นอนกัดฟันบ่อยๆ จนอาจเกิดแทบทุกวัน ยังส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะลดประสิทธิภาพในการนอนหลับพักผ่อนลง และเสี่ยงให้เกิดปัญหาฟันสึกกร่อนมาก ถึงขนาดเข้าไปถึงชั้นเนื้อฟัน และส่วนใหญ่จะเกิดที่ฟันกราม อาจส่งผลให้มีปัญหาในการบดเคี้ยวอาหาร โดยเฉพาะผู้สูงวัยที่เสี่ยงฟันสึกกร่อนแล้วยังส่งผลถึงปัญหาเรื่องฟันโยกได้มากกว่าวัยอื่นๆ

ดังนั้น หากสงสัยว่าตัวเองมีความผิดปกติขณะนอนหลับ อาจมีความเสี่ยงนอนกัดฟัน ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านโรคความผิดปกติจากการหลับ เพื่อวินิจฉัยตรวจหาสาเหตุ และรับการรักษาอย่างเหมาะสม

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

เครื่องดื่มผสมน้ำตาล ก่อให้เกิดมะเร็งจริงหรือ?

นักวิจัยเผยคนที่ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาลปริมาณมากมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็ง โดยการศึกษาวิจัยครั้งใหญ่ในฝรั่งเศสชี้ให้เห็นว่า การจำกัดปริมาณเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล อาจช่วยลดจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งได้ด้วย

การดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลเป็นที่นิยมทั่วโลกในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมีความเชื่อมโยงกับการเป็นโรคอ้วน หรือภาวะที่มีน้ำหนักตัวเกินซึ่งทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง

นักวิจัยเก็บข้อมูลจากผู้ใหญ่ชาวฝรั่งเศสกว่า 100,000 คน เป็นเวลา 9 ปี คือจากปี พ.ศ. 2552 จนถึง พ.ศ. 2561 โดยแบ่งเป็นผู้ชาย 21% และเป็นผู้หญิง 79% เพื่อดูว่าแต่ละคนดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลมากน้อยแค่ไหน จากนั้นนักวิจัยจะวัดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งทุกชนิดของกลุ่มตัวอย่าง เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งต่อมลูกหมาก

นักวิจัยยังมองถึงความเสี่ยงอื่นๆ ในการเป็นโรคมะเร็งที่อาจเกิดขึ้นในแต่ละบุคคล รวมถึงอายุ เพศ ระดับการศึกษ าประวัติครอบครัว การสูบบุหรี่ และระดับการออกกำลังกาย

นักวิทยาศาสตร์พบว่า การดื่มเครื่องดื่มผสมน้ำตาลเพิ่มขึ้น 100 มิลลิลิตร เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งโดยรวม 18% และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเต้านม 22%

และเมื่อพิจารณาผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้และผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มชนิดหวานอื่นๆ พบว่าคนทั้งสองกลุ่มมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็งโดยรวมเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยไม่พบความเชื่อมโยงกับผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากและลำไส้ใหญ่ ซึ่งอาจเป็นเพราะในกลุ่มอาสาสมัครมีผู้ป่วยโรคมะเร็งสองชนิดนี้เพียงไม่กี่รายเท่านั้น

Amelia Lake ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการสาธารณสุข ที่มหาวิทยาลัย Teesside ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า ในขณะที่การศึกษาครั้งนี้ไม่ได้ระบุสาเหตุและผลกระทบที่ชัดเจนระหว่างน้ำตาลกับโรคมะเร็ง แต่ก็ทำให้มองเห็นถึงความสำคัญในการลดการบริโภคน้ำตาล เพราะการลดปริมาณน้ำตาลในอาหารเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง

การศึกษานี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ของอังกฤษ BMJ British medical journal

องค์การอนามัยโลกแนะนำว่า ควรจำกัดปริมาณน้ำตาลให้น้อยกว่า 10% ของพลังงานทั้งหมดที่ร่างกายได้รับในแต่ละวัน

ปัจจุบัน หลายประเทศรวมถึง อังกฤษ เบลเยียม ฝรั่งเศส ฮังการี และเม็กซิโกได้มีการเก็บภาษีน้ำตาลแล้ว หรือกำลังจะใช้วิธีเก็บภาษีน้ำตาล เพื่อยกระดับสุขภาพของประชาชนในประเทศให้ดีขึ้น

สุขภาพทั่วไป

ควรทานอาหารเสริมบำรุงตับ…อย่ารอให้สายจนเกินเยียวยา

อาการของมะเร็งตับ

โดยแรกๆส่วนใหญ่มะเร็งตับจะเหมือนกับนินจา หรือ นักฆ่าที่ค่อยเก็บตัวเงียบไม่เผยตัวออกมาให้รู้ว่า ตัวเราเองกำลังมีบ้างอย่างในร่างกายที่ผิดปกติไป เราจะสามารถใช้ชีวิตดำเนินได้อย่างปกติ ถ้าหากมองด้วยตาเปล่าเราไม่มีทางรู้เลยว่าตัวเองกำลังเป็นโรคมะเร็งตับอยู่หรือเปล่า แต่ถ้าหากเราเกิดว่างๆไปทำการตรวจร่างกายประจำปีและทางโรงพยาบาลได้ตรวจร่างกายด้วยการฉายแสงอัลตราซาวด์แล้วละก็ เรามะเร็งตับจะไม่สามารถหลบหนีจากการอัลตราซาวด์ถ้าหากเราเป็นมะเร็งตับก็จะพบได้ทันที หรือ การตรวจมะเร็งตับอีกแบบด้วย

 

วิธีการที่ทันสมัยของยุคนี้

ทางการแพทย์ได้ทำการคิดค้นการตรวจหามะเร็งตับได้จากการตรวจระดับของโปรตีนบางชนิดในเลือดของเรา โดยทั่วไปแล้วค่าโปรตีนของเราจะมีค่าที่คงที่เหมือนกับการหายใจที่มีจังหวะของมันเหมือนหายใจเร็วแปลว่าร่างกายของเราทำงานหนักเกินไปโปรในเลือดของเราก็เหมือนกันเมื่อค่าเกิดการผิดปกตินั้น ก็แสดงว่าตับได้ทำการสกัดโปรตีนจากสารอาหารของเราได้เปลี่ยนไป จากเดิมอาจจะสกัดได้ค่าคงที่ที่ 100 แต่ค่าอาจจะตกลดลงมาเรื่อยจาก 100 เป็น 70 เป็น 50 เป็น 10 จึงทำให้ทางการแพทย์วิเคราะห์ได้ว่าตับของเรากำลังมีบ้างอย่างที่ผิดปกติไปจากเดิมแน่นอน

โดยระยะแรก

ถ้าเกิดเราตรวจแล้วเจอทัน ตับจะมีเนื้องอกออกมาที่เป็นเนื้อร้ายจะมีขนาดประมาณไม่กี่เซนติเมตร ซึ่งถ้าเป็นในระยะนี้ 100 สามารถหายได้โดยการเข้ารับการผ่าตับเอาเนื้อร้ายออกและก็ฉายแสงเพื่อฆ้าเซลส์มะเร็งทิ้งซะไม่งั้นอย่างงั้นถ้ามะเร็งมีเชื้อก็จะกลับมาทำร้ายตับได้อีก แต่เมื่อเข้าระยะที่ 3 – 4 เนื้อร้ายนั้นจะมีขนาดมากกว่า 8 – 10 เ.ซนติเมตรซึ้งใหญ่กว่านิ่วของเรา จะทำให้เราไม่สามารถทานอะไรได้เลย ตาเหลือง ทรมานบางคนอาจจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือดด้วย

เราควรหา อาหารเสริมบำรุงตับ มาทาน อย่ารอให้สายเกินเยียวยา เพราะโรคเกี่ยวกับตับน่ากลัวเกินที่เราจะลังเล

สุขภาพ, สุขภาพทั่วไป

โรคเกี่ยวกับมือ รับมืออย่างไร

มือ นับเป็นอวัยวะอีกอวัยวะหนึ่งที่มีความสำคัญ ใช้ในการหยิบจับสิ่งของ รวมทั้งการทำกิจวัตรประจำวันแทบทุกอย่างในชีวิต หากมือประสบปัญหาหรือเกิดอุบัติเหตุอันจะเป็นสาเหตุทำให้มือเกิดความผิดปกติไป ควรรีบทำการรักษาจากทีมแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะประสบการณ์เป็นสิ่งจำเป็น เพราะมือเป็นอวัยวะที่มีขนาดเล็กและมีความซับซ้อน ที่ต้องใช้ความละเอียดสูงในการรักษา

ส่วนประกอบของมือ

  • กระดูก
  • เส้นเอ็น
  • เส้นประสาท
  • เส้นเลือด
  • ข้อเล็กๆ

สาเหตุของปัญหาทางมือ
ปัญหาในมือที่พบได้บ่อยมักมีสาเหตุมาจาก

อุบัติเหตุ ได้แก่ กระดูกหัก เส้นเอ็นขาด เส้นเลือดขาด เส้นประสาทขาด หรือผิวหนังบอบช้ำ
ปัญหาที่เกิดจากการทำงาน ได้แก่ นิ้วล็อค เส้นประสาทที่ข้อมืออักเสบ หรือโรคผังผืดเส้นประสาทที่ข้อมือ เอ็นข้อมืออักเสบ เนื้องอกเส้นประสาทบริเวณมือ
อุบัติเหตุทางมือ
อุบัติเหตุทางมือชนิดไม่รุนแรง อย่างมีดบาดหรือมือเข้าไปในเครื่องปั่น
การดูแลเบื้องต้นก่อนมาโรงพยาบาลที่ถูกวิธีคือ ใช้ผ้าก๊อซปิดและกดบาดแผล ถ้าบาดแผลที่นิ้วหรือข้อมือควรทาบด้วยไม้กระดานเล็กก่อนปิดผ้าก๊อซและพันด้วยผ้ายีดไว้เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้วหรือข้อมือบิดไปมา ปลายนิ้วอาจตายได้หากเลือดไปเลี้ยงไม่สะดวก และยกมือให้สูงกว่าระดับหัวใจเพื่อให้เลือดออกน้อยลง

อุบัติเหตุทางมือชนิดรุนแรง ขาดทั้งกระดูก เส้นเอ็น เส้นประสาท เส้นเลือดทุกอย่างพร้อมกัน
วิธีการรักษาเริ่มจากต่อกระดูกก่อน จากนั้นจึงทำการต่อเส้นเอ็น เส้นประสาท และเส้นเลือดตามลำดับ หากเกิดอุบัติเหตุนิ้วหรือมือขาด วิธีการเก็บที่ถูกวิธีคือ เก็บอวัยวะส่วนนั้นมาโรงพยาบาลโดยใส่ถุงพลาสติกที่สะอาด มัดปากถุงให้แน่น แล้วนำไปแช่ในน้ำแข็งเพื่อรักษาเซลล์ให้คงสภาพดี ไม่ควรนำอวัยวะที่ขาดแช่ในน้ำแข็งโดยตรงเพราะเนื้อเยื่ออาจตาย และควรมาถึงโรงพยาบาลภายใน 6 ชั่วโมง

หลักการรักษามือ
การรักษามือนั้นซับซ้อนและต้องละเอียดพอควร หลักการรักษาจึงแบ่งออกตามส่วนประกอบสำคัญของมือ คือ

กระดูก
หลักการรักษาคือ ทำให้กระดูกแข็งแรงและเคลื่อนไหวโดยเร็วที่สุด หากปล่อยไว้นานเคลื่อนไหวช้าข้อนิ้วมือจะยึดติด แพทย์จะใส่เหล็กดามเล็กๆ เข้าไปยึดกระดูกนิ้วมือให้ประสานกัน โดยกระดูกส่วนที่หักบ่อย คือ กระดูกนิ้วมือและข้อมือ เพราะมือเกิดอุบัติเหตุง่าย และเป็นส่วนที่กระดูกเล็ก สาเหตุอาจเกิดจากอุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา อุบัติเหตุรถยนต์ ขับรถ Big Bike ทำให้โอกาสกระดูกหักมีมาก รวมทั้งคนสูงอายุ เวลาล้มหรือเกิดอุบัติเหตุมักใช้มือยันพื้นป้องกันตัว

เส้นเอ็น
ถ้าเอ็นขาดที่มือ หลักการต่อเส้นเอ็นมือคล้ายกันกับกระดูกคือ ต้องต่อเส้นเอ็นให้แข็งแรงพอที่จะเคลื่อนไหวได้เร็วที่สุด และไม่มีแผลเป็น ถ้ารักษาช้าจะเกิดแผลเป็นหรือผังผืดในเส้นเอ็น เนื่องมาจากช่องว่างในนิ้วมือค่อนข้างเล็ก หากเส้นเอ็นเกิดแผลเป็นหนาจะทำให้เคลื่อนไหวได้ไม่ดี ข้อจะติด เพราะฉะนั้นการต่อเส้นเอ็นต้องต่อให้ดี เพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็นหรือผังผืด

การผ่าตัดต่อเส้นเอ็นในมือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก ในสมัยก่อนอาจารย์แพทย์ผ่าตัดที่ประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า หากเส้นเอ็นขาดตรงนิ้วมือ ไม่ต้องต่อ เพราะสมัยนั้นเทคนิคการผ่าตัดยังไม่ดีพอ ยิ่งผ่าตัดต่อเส้นเอ็นยิ่งทำให้เกิดแผลเป็นในเส้นเอ็นและมีปัญหามากขึ้น จนปัจจุบันเทคโนโลยีการผ่าตัดมีความก้าวหน้าไปมาก มีการพัฒนาเทคนิคการผ่าตัดรักษาดีขึ้น สามารถต่อเส้นเอ็นที่ขาดโดยไม่มีแผลเป็น เส้นเอ็นที่ขาดมานานแล้วต่อไม่ได้จะนำเอาเส้นเอ็นจากส่วนอื่นในร่างกายมาใช้ทดแทนส่วนที่เกิดปัญหา เช่น เส้นเอ็นจากส่วนขา การผ่าตัดต่อเส้นเอ็นด้วยไหมสารสังเคราะห์ที่มีความแข็งแรง ทำให้เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้น ทำให้ต่อเส้นเอ็นโดยมิให้เกิดรอยแผลเป็นในเส้นเอ็น จึงกล่าวได้ว่า ‘การผ่าตัดทางมือต้องใช้ศาสตร์ที่ครบเครื่อง’ ไม่ว่าจะเป็น กระดูก เส้นเอ็น เส้นเลือด เส้นประสาท แพทย์ที่ผ่าตัดมือต้องมีความครบเครื่อง เปรียบได้กับ เป็นทั้งช่างทอง (ต่อเส้นเลือด เส้นเอ็น เส้นประสาทเส้นเล็ก ๆ ผ่านกล้อง) และช่างไม้ (ต่อกระดูก) เป็นต้น

เส้นประสาท
ในมือของคนเรามีหน้าที่รับรู้ความรู้สึก การต่อเส้นประสาทที่ขาดต้องทำการรักษาด้วยการต่อเส้นประสาท เนื่องจากเส้นประสาทมีขนาดที่เล็กมาก ยิ่งปลายนิ้ว ยิ่งต่อยาก การต่อจึงต้องใช้ความละเอียดสูง โดยใช้ไหมเส้นเล็กๆ ยิ่งบริเวณส่วนปลายมือ

เส้นประสาทยิ่งมีขนาดเล็กจึงต้องใช้กล้องที่มีกำลังขยายสูงที่เรียกว่า Microsurgery ดังนั้นการต่อรักษาเส้นประสาทจึงต้องอาศัยแพทย์ที่มีความชำนาญเฉพาะทางด้านมือและมีประสบการณ์ในการผ่าตัดเป็นสิ่งสำคัญ หากเส้นประสาทเสียหายมาก ๆ ต่อติดไม่ได้ หรือต่อช้านานเกิน 1 ปี จะทำให้กล้ามเนื้อมือลีบ แพทย์จะใช้เทคนิคการย้ายเส้นเอ็นจากส่วนอื่นมาช่วยทดแทนกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นที่ไม่ทำงาน เนื่องจากเส้นประสาทที่เสียหายเพื่อให้นิ้วมือสามารถขยับใช้งานได้

เส้นเลือด
ถ้าขาดก็ต้องทำการผ่าตัดต่อเส้นเลือดโดยเร็ว

นอกจากนี้ มือจะต้องมีการรับความรู้สึก จึงต้องมีผิวหนังที่ดี ผิวหนังที่มือเรามีความแตกต่างกับผิวส่วนอื่นของร่างกาย โดยเฉพาะผิวหนังฝ่ามือเป็นส่วนที่เราใช้สัมผัส มีความหนาเป็นพิเศษ ใต้ผิวหนังมีเส้นประสาทรับความรู้สึกค่อนข้างมากเพื่อให้ใช้งานได้ หากมือเกิดอุบัติเหตุจากไฟฟ้าอาจทำให้เซลล์ผิวหนังไหม้เสียหาย แพทย์จะทำการย้ายผิวหนังจากส่วนอื่นมาทดแทน และบางครั้งเนื้อที่เอามาต้องต่อเส้นเลือดด้วย เพราะฉะนั้น แพทย์เฉพาะทางด้านมือจะดูแลทุกส่วนประกอบของมือรวมทั้งผิวหนัง เพื่อให้มือสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพ