สุขภาพ

ฝุ่น PM2.5 คืออะไร

อธิบายถึง ฝุ่น PM2.5 มีดังนี้

อากาศ คือก๊าซที่มนุษย์เราใช้หายใจเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด ปัจจุบันนี้อากาศที่เราใช้หายใจมันไม่ใช่อากาศที่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว มันถูกปนเปื้อนไปด้วยมลพิษ เชื้อโรค และฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5  ซึ่งปกติแล้วขนจมูกที่อยู่ในจมูกของมนุษย์เราสามารถที่จะช่วยกรองฝุ่นละอองไม่ให้เดินทางมาในระบบทางเดินหายใจของเราได้ แต่ทุกวันนี้มลพิษทางอากาศในประเทศไทยของเรามีเยอะขึ้น

โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ที่ขนาดเล็กมากจนขนจมูกไม่สามารถกรองดักไว้ได้ เมื่อเราหายใจเอาเข้าไปในร่างกายจึงทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

 

ฝุ่น PM2.5 คือ ฝุ่นละอองที่ปะปนอยู่ในอากาศ

ที่เราใช้หายใจมีขนาดเล็กมาก นักวิจัยบอกว่ามันมีขนาดไม่เกิน 2.5ไมครอน ถ้านึกไม่ออกว่ามันเล็กขนาดไหน ให้ลองนึกภาพเส้นผมของมนุษย์เราหนึ่งเส้น ฝุ่น PM2.5 มีขนาดแค่ 1 ใน 25 ส่วนตามยาวของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผมเราเท่านั้น จะเห็นว่าขนาดของมันเล็กมาก เล็กจนขนจมูกเราไม่สามารถดักกรองไม่ให้พวกมันเดินทางเข้าสู่ร่างกายของเราได้  เมื่อฝุ่น PM2.5 ตัวนี้เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์เรา มันจะแพร่กระจายอย่างรวดไปตามกระแสเลือดและอวัยวะภายในต่างๆ เมื่อสะสมไว้ในร่างกายเป็นจำนวนมาก ก็จะพัฒนาก่อตัวมาทำลายระบบภายในทำให้ร่างกายอ่อนแอและเกิดโรคขึ้นได้

หลายคนสงสัยว่า ฝุ่น PM2.5 เกิดขึ้นได้อย่างไรมีแหล่งกำเนิดมาจากไหน และที่สำคัญมีผลกระทบต่อสุขภาพของเราร้ายแรงยังไง วันนี้เรามาตอบข้อสงสัยตรงนี้กันคะ

 

ฝุ่น PM2.5 มีแหล่งกำเนิดส่วนใหญ่มาจากมลพิษที่มนุษย์

เราเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเองและการรวมตัวของก๊าซพิษที่เกิดเองตามธรรมชาติในชั้นบรรยากาศ ซึ่งปัญหาที่ตรวจพบแท้จริงมีสาเหตุมาจากมนุษย์ เช่น การเผาขยะ , เผาหญ้าเผาป่าเพื่อเตรียมการเพาะปลูก , ควันจากท่อไอเสียรถยนต์  และ ฝุ่นที่มาจากการก่อสร้าง เป็นต้น กรณีที่เราหายใจเอาฝุ่นพวกนี้เข้าไปเก็บสะสมไว้ในร่างกายของเราในปริมาณมาก จะส่งผลเสียต่อร่างกาย 1.ทางผิวหนังอาจเกิดผื่นคัน , ปวดแสบปวดร้อน , เป็นลมพิษ 2.ทางระบบหายใจ อาจเกิดอาการไอ จาม ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ ,โรคหอบหืด ,โรคถุงลมโปร่งพอง ,โรคปอดเรื้อรัง , โรคหัวใจและหลอดเลือดอักเสบ หรือสุดท้ายพัฒนาจนกลายเป็นมะเร็งปอด ทางที่ดีเพื่อความปลอดภัยจากฝุ่น PM2.5 เบื้องต้นเราควรซื้อหน้ากากป้องกันฝุ่น ที่เรียกว่า หน้ากาก N95 มาใช้

ถ้าช่วงนี้คุณตื่นเช้าขึ้นมาแล้วมองที่ไปหน้าต่างเห็นหมอกปกคลุม อย่าเพิ่งหลงดีใจไปนะคะเพราะสิ่งที่คุณเห็นแท้จริงแล้วมันคือกลุ่มฝุ่นละออง PM2.5 ที่จับตัวกันจนเป็นก้อนมหึมาต่างหากล่ะ

 

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย ชุดตรวจ hiv

สุขภาพ

สัญญาณอันตราย วัณโรคกระดูก

อาการปวดหลังที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย หากเป็นเพียงชั่วครู่ชั่วคราวแล้วกินยาหายก็ย่อมถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่เคยกันหรือไม่คะจู่ๆ ก็มีอาการปวดหลังชนิดรุนแรงเรื้อรังและปวดหนักมากขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งนั่นกำลังส่อสัญญาณว่าคุณอาจป่วยเป็นวัณโรคกระดูกซะแล้วล่ะ

ใช่แล้วค่ะ.. วัณโรคกระดูก คุณฟังไม่ผิดหรอก! หลายคนอาจเคยได้ยินแต่วัณโรคซึ่งเกิดกับปอดแต่เพียงเท่านั้น ทว่าปัจจุบันวิวัฒนาการของโรคก็พัฒนาการมาเรื่อยๆ ไม่แพ้เทคโนโลยีอันล้ำสมัยของมนุษย์เราเช่นกัน

ฉะนั้น หากคุณกำลังเผชิญกับปัญหาปวดหลังเรื้อรังอยู่ อย่าทนปวดทรมานแสนนานอีกเลย.. จงโยนยาทานวดและยากินทั้งหลายทิ้งเสียให้หมดแล้วพาตัวเองมาพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยรักษากันดีกว่า

ไม่เช่นนั้นแล้ว วัณโรคกระดูกอาจทำลายกระดูกของคุณจนนำความทุกข์ทรมานมาสู่ร่างกายในระยะยาวก็เป็นได้ และในวันนี้หากใครยังไม่รู้ว่าวัณโรคกระดูกเป็นอย่างไร อย่ารอช้า.. รีบตามเรามาทำความรู้จักโรคชนิดนี้กันดีกว่าค่ะ

วัณโรคกระดูกเกิดขึ้นได้อย่างไร?
วัณโรคกระดูกเป็นโรคที่เกิดจากการได้รับเชื้อแบคทีเรีย ไมโคแบคทีเรียม ทูเบอร์คูโลซิส ผ่านเข้าไปยังปอดจนทำให้ปอดมีการติดเชื้อจนกลายเป็นวัณโรคที่ปอดก่อนจากนั้นมันจึงจะแพร่ลามไปยังส่วนอื่น

ซึ่งผู้ป่วยประมาณ 15% ของการได้รับเชื้อมักจะมีเชื้อโรคแทรกซึมผ่านกระแสเลือดจนลุกลามไปยังอวัยวะในส่วนอื่นๆ ของร่างกายต่อไป เช่น สมอง ต่อมน้ำเหลือง ไตและกระดูก เป็นต้น

เมื่อเชื้อได้ซึมแทรกตัวเข้าไปสู่กระดูกมันจะทำลายกระดูกของเรา จนทำให้ผู้ป่วยเป็น ‘วัณโรคกระดูก’ หรือ ‘วัณโรคกระดูกสันหลัง’ (Tuberculosis of Spine)

โดยส่วนใหญ่แล้ว เชื้อโรคนั้นมักจะเข้าไปเกาะติดอาศัยอยู่ในกระดูกสันหลัง ข้อต่อ ข้อเข่าและหากมันยึดเกาะเป็นเวลานานกระดูกก็จะเกิดการถูกทำลายจนมีการยุบตัวลงได้

ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีความผิดปกติตามมา เช่น แผ่นหลังเกิดการโก่งงอ เกิดหนองหรือมีเศษกระดูก มีอาการของหมองรองกระดูกเลื่อนและเมื่อเชื้อแล่นเข้ามาทำลายยังช่องไขสันหลัง ก็จะเกิดการกดทับประสาทที่บริเวณของไขสันหลังจนกลายเป็นอัมพาตที่ขาต่อไป

วัณโรคกระดูกเป็นโรคที่สามารถติดต่อกันได้หรือไม่
โดยปกติแล้ว โรคทุกชนิดในร่างกายคนเรา เมื่อเกิดกับอีกคนหนึ่ง หลายคนก็ย่อมอยากรู้ว่ามันจะมีการแพร่กระจายไปสู่คนรอบตัวได้ด้วยหรือไม่ และนี่ก็คือ สิ่งที่ทุกคนควรตั้งข้อสงสัยและพึงระวังพร้อมกับหาคำตอบของโรคนั้นๆ ไว้พร้อมกัน

จะได้หลีกเลี่ยงและหาวิธีรับมือป้องกันไม่ให้ตนเองเกิดการติดเชื้อไปด้วย โดยเฉพาะกับผู้ที่จะต้องอาศัยอยู่ร่วมกับผู้ป่วย เพราะโอกาสในการติดเชื้อจากคนในครอบครัวด้วยกันย่อมมีสูงกว่าการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไกลที่อยู่ห่างกันออกไป

สำหรับในกรณีของการวัณโรคกระดูกนั้น หลายคนก็อาจจะมีคำถามให้ชวนคิดเช่นเดียวกันจริงมั้ยคะ? ซึ่งคำตอบก็คือ วัณโรคกระดูกสามารถถ่ายทอดไปสู่คนอื่นๆ รอบตัวได้ค่ะ

โดยเริ่มจากการที่คนรอบตัวสูดเอาเชื้อที่ออกมาจากสารคัดหลั่งในขณะที่ผู้ป่วยจามหรือไอออกมา นอกจากนี้ ยังสามารถติดเชื้อจากหนองของร่างกายผู้ป่วยด้วยได้ การทานอาหารบางชนิด เช่น การดื่มนมวัวดิบจากวัวที่เป็นวัณโรค และภาชนะสำหรับใส่อาหารทานหากมีเชื้อวัณโรคปนเปื้อนอยู่เราก็มีสิทธิ์ติดเชื้อได้เช่นเดียวกัน

บุคคลซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงในการติดเชื้อวัณโรคกระดูก
แท้จริงแล้ว การติดเชื้อวัณโรคกระดูกนั้นสามารถติดต่อกันได้กับคนทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ทั้งหญิง-ชายและวัยผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเด็กและคนชราย่อมมีโอกาสเสี่ยงในการได้รับเชื้อค่อนข้างสูงกว่า

เพราะระบบภูมิคุ้มกันโรคต่ำกว่าวัยทั่วไป นอกจากนี้ คนที่มีอาการป่วยเรื้อรังอื่นๆ หรือแม้แต่คนที่ติดเชื้อ HIV ก็ล้วนมีโอกาสติดเชื้อวัณโรคกระดูกได้สูงเช่นเดียวกัน

อาการวัณโรคกระดูกที่ไม่ใช่แค่ปวดหลังธรรมดา
ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อวัณโรคในระยะช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เชื้อจะมีการลุกลามไปยังกระดูกและข้อต่อ จนทำให้มีอาการต่างๆ ตามมา ตั้งแต่อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย

อาการในแรกเริ่มอาจจะเป็นเพียงเล็กน้อยก่อนจากนั้นมันจึงจะค่อยๆ ทวีอาการรุนแรงเพิ่มสูงขึ้น กระทั่งผ่านพ้นไปสัก 1 เดือน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดที่ชัดเจนมากขึ้น ร่วมกับการมีไข้ต่ำตอนเย็น มีอาการเบื่ออาหารและน้ำหนักลดตามมา

หลายคนที่ติดเชื้อวัณโรคแล้วมีอาการเหล่านี้ มักเข้าใจไปว่าตนเองแค่ปวดหลังธรรมดาเท่านั้น แต่หารู้ไม่ว่าหากคุณปล่อยไว้นานโดยไม่รีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาก็จะส่งผลให้กระดูกสันหลังโก่งงอขึ้นได้

เนื่องจากเชื้อร้ายจะเข้าไปทำลายกระดูกซึ่งหากมันเกิดการกดทับระบบประสาทร่วมด้วย ผู้ป่วยก็จะมีอาการขาชา ส่งผลให้ปัสสาวะและอุจจาระลำบาก บางรายมีอาการร่วมกับต่อมน้ำเหลืองโตและเดินกะเผลกแบบผิดปกติอีกด้วย

นอกจากนี้ เรายังพบข้อมูลซึ่งระบุไว้ว่า ผู้ป่วยวัณโรคกระดูกส่วนใหญ่นั้นมักเกิดขึ้นกับกระดูกสันหลังบริเวณส่วนเอวประมาณ 30-50% เมื่อเชื้อแทรกซอนเจาะลึกเข้าไปยังกระดูกสันหลังส่วนเอวแล้วล่ะก็ อาการปวดหลังก็จะยิ่งทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่องจนแทบไม่สามารถยืนตัวตรงได้เลยทีเดียว

การวินิจฉัยวัณโรคกระดูก
จะว่าเป็นข้อเสียที่มาพร้อมการเฝ้าสังเกตอาการของผู้ป่วยโรคนี้เลยก็ว่าได้ เพราะหลายคนที่มีอาการปวดหลังมักจะเข้าใจไปว่าตนเองแค่ปวดหลังธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นกันได้ทั่วไป

จึงไม่นึกเอะใจเพื่อจะมาพบแพทย์ นอกจากร่างกายจะมีอาการปวดรุนแรงหนักๆ และมีอาการแขนขาชาอ่อนแรงสุดๆ แล้วนั่นแหละจึงจะมาพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

ดังนั้น หากคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่มีอาการดังที่เราชี้แจงเบื้องต้น ร่วมกับมีอาการปวดหลังมากขึ้นเรื่อยๆ หากทานยาแล้วไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ควรรีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาโรคกันดีกว่านะคะ โดยแพทย์จะให้การวินิจฉัย 2 วิธีดังนี้

1.ตรวจทางรังสี
การวินิจฉัยผ่านทางรังสีนั้นจะทำให้เราได้ทราบลักษณะของกระดูกได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น กระดูกสันหลังมีการถูกทำลายแล้วหรือไม่ มีลักษณะโก่งงอหรือไม่ หมอนรองกระดูกแคบลงหรือไม่ เพราะหากลักษณะของกระดูกสันหลังมีความผิดปกติจริง นั่นก็หมายความว่า เชื้อวัณโรคได้ทำลายกระดูกสันหลังผู้ป่วยไปแล้วนั่นเอง

2.ตรวจด้วยทีซีสแกนหรือ MRI
เป็นการตรวจดูลักษณะของกระดูกสันหลังว่ามีหนองหรือไม่ นอกจากนี้ ยังสามารถตรวจดูการถูกทำลายของกระดูกสันหลัง กระดูกไขสันหลังและเส้นประสาทว่าเกิดการกดทับด้วยหรือไม่นั่นเอง

วิธีป้องกันวัณโรคกระดูก
1.ดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน
ควรหันมาใส่ใจสุขภาพให้แข็งแรงก่อนเป็นหลักค่ะ เพื่อป้องกันการติดเชื้อวัณโรคกระดูก โดยทำได้ง่ายมากๆ เริ่มจากดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้ทัดทานเชื้อทุกชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการหมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารให้ครบถ้วนตามหลักโภชนาการและนอนพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะหากเราอดนอนหรือนอนไม่พอเมื่อไร ภูมิคุ้มกันโรคบกพร่องตามมาเสมอและนั่นเองสาเหตุง่ายๆ อันนำมาสู่ปัญหาสุขภาพต่างๆ

2.ป้องกันการรับเชื้อจากคนรอบตัว
หากคุณพบว่าคนใกล้ชิดมีอาการป่วยคล้ายกับอาการหวัด โดยไอหรือจามปกติทั่วไป จงอย่าเพิ่งด่วนสรุปไปว่าเขาอาจเป็นหวัดธรรมดาเท่านั้น เพราะละอองที่ปลิวออกมาร่วมกับเสมหะหรือสารคัดหลั่งอาจมีเชื้อวัณโรคเจือปนอยู่ด้วยก็ได้ ดังนั้น จึงควรหมั่นพยายามปิดจมูก ปิดปากของตัวเราเองเพื่อป้องกันการรับเชื้อโดยการสูดดมทางจมูกและปาก หากมีความจำเป็นจะต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วยที่มีอาการดังกล่าว

3.ตรวจสุขภาพทุกปี
นี่เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด โดยเฉพาะการอาศัยอยู่ร่วมกับคนในครอบครัวที่มีผู้ป่วยเป็นวัณโรคหรือมีอาการไอ จามเป็นประจำโดยยังไม่ทราบสาเหตุ ควรพาทั้งผู้ป่วยและตัวคุณเองไปตรวจสุขภาพบ้างเป็นประจำ โดยเฉพาะการเอกซเรย์ปอดเพื่อให้รู้เท่าทันเชื้อโรคและป้องกันการติดเชื้อวัณโรคจากคนรอบตัวไปด้วยนั่นเอง

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ สำหรับการติดเชื้อวัณโรคจนกระทั่งเชื้อนั้นลุกลามจากปอดผ่านกระแสเลือดมายังอวัยวะสำคัญอื่นๆ ภายในร่างกาย โดยเฉพาะการเกิดวัณโรคกระดูก

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอาการดังกล่าวโดยเฉพาะการปวดหลังนั้น ล้วนเกิดได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตในปัจจุบันซึ่งเราอาจจะนั่งทำงานผิดท่า นอนผิดวิธีหรือแม้แต่การออกกำลังกายหรือยกของหนัก ตลอดจนอาการป่วยไข้ต่างๆ ก็ย่อมนำมาซึ่งอาการปวดหลังร่วมด้วยได้เช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ ใครกันบ้างละคะที่จะทันนึกเอะใจว่าเราอาจจะติดเชื้อวัณโรคกระดูกเข้าไปเสียแล้ว

ดังนั้น เพื่อไม่ให้สายจนเกินแก้ เมื่อพบว่าอาการปวดหลังมีความผิดปกติมากขึ้นเรื่อยๆ จงรีบไปพบแพทย์กันแต่เนิ่นๆ ดีกว่านะคะ จะได้รักษาโรคดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที

นอกจากนี้ หากพบว่าคนรอบตัวคุณบ่นถึงอาการปวดหลังอยู่บ่อยๆ จนแน่ใจว่าอาจปวดเรื้อรังมาเนิ่นนานแล้ว ก็ควรบอกข้อมูลเกี่ยวกับวัณโรคกระดูกให้เขาได้ทราบบ้าง เพื่อกระตุ้นสติให้เขาฉุกคิดและรีบไปพบแพทย์รักษาอย่างทันการณ์ต่อไป

สุขภาพ

ดูแลสุขภาพกับวิธีง่ายๆ แค่ใส่ใจตัวเอง

หลายคนอาจจะคิดว่าความร่ำรวยเงินทองคือ บ่อเกิดของความสุข แต่คุณจะมีความสุขกับเงินที่หามาได้อย่างไร หากสุขภาพไม่เอื้ออำนวย ต้องเข้าโรงพยาบาลไปพบหมอมากกว่าได้เดินทางไปแหล่งท่องเที่ยว สุขภาพจึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องให้ความสำคัญทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งก็สามารถทำได้ดังต่อไปนี้

1.ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานให้ตรงเวลา

ในทุก ๆ มื้อพยายามทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่อย่างพอเพียงตามความต้องการของร่างกาย และควรทานให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน โดยมื้อเช้าถือว่าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดจึงไม่ควรที่จะงด ส่วนมื้อเย็นควรทานแต่น้อยและไม่ควรทานหลัง 6 โมง เพราะหากทานดึกเกินไปใกล้เวลานอน อาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่

2.ดื่มน้ำให้พอเพียง

พยายามดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เพราะการดื่มน้ำอย่างพอเพียงมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ทั้งในเรื่องของสุขภาพและความสวยความงาม ไม่ว่าจะเป็นช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นไปอย่างปกติ ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่น ดูสดใสเปล่งปลั่ง

3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ควรหาเวลาออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยให้สดชื่นผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ช่วยให้ปอดและหัวใจทำงานได้ดี อีกทั้งยังช่วยสลายไขมัน ซึ่งจะช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย

4.นอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียง

นอนหลับพักผ่อนให้ได้วันละ 6-8 ชั่วโมง การนอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียงไม่เพียงแต่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังทำให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นแจ่มใส มีพลังในการทำงานและการใช้ชีวิต

5.หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

เป็นที่รู้กันว่า การสูบบุหรี่และดื่มเหล้านั้นเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ มะเร็งปอด การหลีกเลี่ยงหรือพยายามลด ละ เลิก พฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะทำให้คุณมีสุขภาพดีขึ้น เพราะหากคุณไม่รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายก็ย่อมเป็นการลดปัจจัยที่จะมาทำลายสุขภาพของคุณนั่นเอง

6.รักษาสุขภาพจิตให้ดี

การมีสุขภาพจิตที่ดีย่อมส่งผลให้สุขภาพร่างกายดีไปด้วย และการมีสุขภาพจิตที่ดีนั้นก็สามารถทำได้โดยการทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ หากิจกรรมที่ชอบทำ ฝึกสมาธิปฏิบัติธรรม เป็นต้น

7.ให้เวลากับคนในครอบครัว

ความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว เป็นแหล่งที่มาอีกแห่งหนึ่งของความสุข การให้ความสนใจกับธุระการงานจนลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับคนในครอบครัวย่อมทำให้ความสุขในครอบครัวลดน้อยลง ใส่ใจกับครอบครัวให้มากขึ้น สร้างความสมดุลให้กับชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เท่านี้คุณก็หาความสุขได้ในทุก ๆ วันได้แล้ว

สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์และการมีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณสามารถสัมผัสกับความสุขที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่มันยังเป็นแหล่งกำเนิดของความสุขด้วยตัวของมันเอง และมันคงไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรถ้าคุณจะหันมาใส่ใจกับสุขภาพเสียแต่บัดนี้ เพื่อที่คุณจะได้มีความสุขได้มากขึ้นในทุกวันที่ผ่านไป